ประชาสัมพันธ์
แนวทางทองคำวันที่ 19-2-59
แนวรับ 1224 1220 1217 แนวต้าน 1230 1235 1240
ทองคำปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่
ทางเลือกรอง : ราคาที่พักหลุดลงกว่า 1220 จะเป็นปัจจับลบแรก และ หากปรับตัวลดลงเกินกว่า 1200 จะเป็นสัญญาณกลับตัวลงในราย
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นเ
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ตัวเลขคนขอรับสวัสดิการว่าง
- OECD ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจโลก
- ข่าวทางฝั่งยุโรปเงียบหายไป
- S&P ปรับลดอันดับเครดิตความน่าเ
- ตลาดหุ้นทางฝั่งเอเชียปรับต
- มีข่าวออกมาจาก Bloomberg แสดงให้เห็นถึง เม็ดเงินยังไหลเข้ามาแช่ไว้
- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเล
แนวรับ 1203 1195 1180 แนวต้าน 1213 1217 1225
ราคาทองคำจากที่เคยมองไว้ว่าเป็น Head and shoulder ล่าสุด ราคาแกว่งตัวออกข้างนานเกินไป จนมองว่า ระยะสั้นกำลังทำรูปแบบสามเหลี่ยมแทน และ กรอบสามเหลี่ยมเป็นแบบสมมาตร และบีบเข้าเรื่อยๆ ใกล้จะเลือกทางแล้ว กรอบบนอยู่ระดับ $1210 และกรอบล่าง $1195 โดยปกติแล้วรูปแบบนี้มีโอกาสที่จะกลับสู่แนวโน้มเดิมมากกว่า ในที่นี้คือลง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะขึ้นอยู่เช่นกัน จึงมองว่า ติดตามการหลุดกรอบทางใดทางหนึ่งน่าจะดีกว่า ปัจจัยลบมากขึ้นช่วงนี้ หลังตลาดหุ้นรีบาวน์
ทางเลือกรอง : ถึงแม้ว่าจะมอง Bias ฝั่งลงมากกว่า แต่หากราคาหลุดกรอบบนขึ้นไปเกินกว่า $1210 จริงๆ ก็ต้องยอมและราคาจะปรับตัวขึ้นต่อ
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อวานนี้หลังจากระหว่างชั่วโมงการซื้อ-ขายปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และ ก่อนที่จะปิดมีแรงซื้อขึ้นมาปิดใกล้กับระดับที่เปิด จากราคาน้ำมันดิบที่รีบาวน์ขึ้นมาแรงกว่า 7% รวมทั้งตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปและอเมริกาที่เขียวส่งมา ยังพอมีหวังให้ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อในวันนี้ แต่ยังต้องระมัดระวังหากปรับตัวขึ้นแล้วไม่ไปไหนสักทีกลับมาที่เดิม ทิศทางเงินบาทดูเริ่มแข็งค่าอีกครั้งแนวรับ 35.50
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ผลการประชุม FOMC เมื่อวานนี้ ประธาน FED คุณ เจเนต เยลเลน ให้ความเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำทั่วโลก รวมทั้ง ความผันผวนของตลาดการเงินที่รุนแรงตั้งแต่ต้นปี เป็นความเสี่ยงต่อฌศรษฐกิจอเมริกา และเปิดช่องว่างให้เกิดความไม่สมดุลของ Risk เพราะ มอง Downside risk เพิ่มมากขึ้นจากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ในอนาคตเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยจะยังขอดูสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินในอนาคตเป็นหลัก ขณะที่เศรษฐกิจของอเมริกาเองยังไปได้อยู่โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ล่าสุดอัตราว่างงานปรับลดลงสู่ระดับ 4.9% และ ยังมองว่าน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ ส่วนตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป้นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาดี และ น้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
- มีการประกาศสถานการณ์ความคืบหน้าของกรีซพบว่า รมว.คลังของกรีซ ยืนยันว่าจะเข้าไปควบคุมการขายหนี้เสียของสถาบันการเงิน และ หนี้เสียที่จะโอนเข้ากองทุน Distressed debt ส่วนทางฝั่ง EU ก็อยากให้กรีซมีความยืดหยุ่นเรื่องกฎหมายในการดำเนินงานเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการขายหนีเสียของธนาคาร
- ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นแรงกว่า 2% เมื่อวานนี้ หลังจากน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นแรงกว่า 7% ทำให้ Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกดูดีขึ้น
- ตัวเลขการส่งออกของญี่ปุ่นหดตัวลงสี่เดือนติดต่อกัน (-12.9%ในเดือนมกราคม) และเป็นการชะลอตัวลงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นผลจากการส่งออกไปยังจีนที่เป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นปรับตัวลดลง 18% ก่อนหน้านั้นเองญี่ปุ่นก็มีประกาศ GDP พบ่วาออกมาแย่ รวมถึง การใช้จ่ายและความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็หดตัวลง ยังดูไม่ค่อยดีสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงนี้ถึงแม้จะมี Abenomics มากว่า 3 ปีแล้ว
- CPI ของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงกว่า 7% สู่ระดับ $31/บาร์เรล จากการคาดการณ์การประชุมถึงการลดกำลังการผลิตระหว่าง อิหร่านและ OPEC ที่เหมือนจะมีความคืบหน้าขึ้นมาเมื่อวานนี้ ทั้งนี้ยังต้องติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
- Barrick gold ซึ่งเป็นเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรับประมาณการณ์ทองคำที่ผลิตได้ในปีนี้จะมีออกมาลดน้อยลง
แนวรับ 1200 1195 1180 แนวต้าน 1206 1210 1215
ราคาทองคำกำลังทำรูปแบบคล้าย Head and shoulder ซึ่งมีเส้นคอ (Neck-line) อยู่ที่ระดับประมาณ $1195 หากหลุดระดับนี้ไปมองว่า จะเปิดช่องว่างฝั่งลง (Downside) ให้เพิ่มมากขึ้นอีก ในขณะที่หากราคาทรงตัวหรือขึ้นไป ก็จะทำให้รูปแบบนี้หมดความได้เปรียบไป และจะกลายเป็นรูปแบบอื่นๆไปแทน จุดที่มองไว้ว่าจะเปลี่ยนคือ หากราคาเกินกว่า 1206-1210 ขึ้นไป ซึ่งใช้ตัวนั้นเป็นจุดตัดขาดทุน โดยสรุป ลุ้นให้หลุด 1195 หากอยากให้ลงตามรูปแบบ Head and shoulder
ทางเลือกรอง : หากราคาไม่หลุด และปรับตัวสูงกว่า 1206-1210 จะมองว่า ฝั่งบวกจะเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยพยายามขึ้นไปใกล้ระดับ 1300 จุดแต่ยังไม่สามารถถึงได้ ถอยลงมาแนวรับที่เดิมตลอด หากเป็นแบบนี้มองว่า ไม่สวย และให้ระมัดระวัง หากดัชนียังไม่สามารถบวกแรงๆได้ ปัจจัยลบเพิ่มเติมคือ ราคาน้ำมันดิบที่ถึงแม้จะยังปรับตัวลงไม่มาก แต่ก็ทำให้กลุ่มพลังงานขาดปัจจัยบวกไป ทั้งนี้โดยรวมแล้วน้ำมันดิบยังอยู่ในแนวโน้มรีบาวน์อยู่ ส่วนทิศทางค่าเงินบาทมองแกว่งตัวอยู่ในกรอบ ไม่ได้มีทิศทางที่มีนัยสำคัญ
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ดัชนีภาคการผลิต Empire state ออกมาที่ –16 จุด หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ –10 จุด แต่ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่ประมาณ –19 จุด โดยรวมแล้วออกมาดีขึ้นแต่ก็ยังติดลบอยู่ ทั้งนี้ ดัชนีประเภทนี้ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อราคาทองคำเท่าไรนัก ทำให้ทองคำไม่ค่อยรับข่าวนี้เท่าไร เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ไม่ค่อยรับข่าวนี้เมื่อวานนี้
- ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นกว่า 200 จุด (2%) จากมุมมองตลาดที่เริ่มหันกลับมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่นำตลาดเมื่อวานนี้จะเป็นกลุ่มของ สินค้าฟุ่มเฟือย และ สถาบันการเงิน ส่วนดาวโจนส์ภาคการขนส่ง ( Dow transport) ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับเฉลี่ย 50 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 1 ธันวาคม เป็นปัจจัยเชิงบวกกับตลาดหุ้น รวมถึง พัฒนาการของจีนที่เงินหยวนหยุดการอ่อนค่าลงเป็นผลบวกกับหุ้นทั่วโลก
- คุณ ดรากี้ ประธาน ECB ให้ความเห็นเมื่อวานนี้ว่า “Ready to do its part to make the euro area more resilent” หรือแปลประมาณว่า พร้อมที่จะทำหน้าที่ (นโยบายทางการเงิน) เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้ยูโรโซนฟื้นตัวได้ดีกว่านี้ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึง การกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมยังอยู่ในแผนของคุณ ดรากี้ ตลาดรับข่าวเชิงบวกนี้เข้าไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ส่วนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มยูโรโซนประกาศออกมาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ล่าสุดดัชนีหุ้นยุโรปเริ่มทรงตัวหลังจากตกลงแรง
- พัฒนาการที่สำคัญของจีนคือ ค่าเงินหยวนเมื่อ 2 วันมานี้เริ่มแข็งค่าขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันทำการ ซึ่ง PBoC ก็ยังออกมายืนยันว่า แผนการลดค่าเงินหยวนน่าจะมีอีกไม่มากแล้ว ทำให้คาดว่าเงินไหลออกจากจีนจะชะลอตัวลง (แต่ก็ยังไหลออกอยู่) ทั้งนี้ตลาดหุ้น H-Share ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 8000 จุด ในช่วงต้นสัปดาห์
- ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225 ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อสองวันมานี้หลังจากปรับตัวลดลงแรงกว่า 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยรวมแล้วไม่ได้มีนัยสำคัญ
- ผลการประชุมระหว่าง OEPC และรัสเซียเมื่อวานนี้พบว่า ยังคงกำลังการผลิตไว้ที่เดิม ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ $29/บาร์เรล โดยรวมแล้วยังทรงตัว
- Goldman Sachs ปรับเป้าราคาทองคำลงสิ้นปีสู่ระดับ $1100 ขณะที่ในระยะกลางมองไว้ที่ $1000 ให้ความเห็นว่า ถึงเวลาที่จะขายสินค้าที่อ้างอิงกับความกลัวออก (Fear barometers) หลังจากพบว่า ตลาดหุ้นถึงจุดที่น่าสนใจซื้อ อ้างอิงจาก Goldman sachs
แนวรับ 1195 1190 1180 แนวต้าน 1202 1205 1210
ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างต
ทางเลือกรอง : ยังมีช่องว่างที่เป็น Breakaway gap ตรงบริเวณ 1235-1239 ที่ยังไม่ได้ปิด ซึ่งมองว่า น่าจะกลับไปปิดได้ เพียงแต่ GAP แบบนี้ต้องใช้เวลาในการปิดเ
USD/THB
ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อ และ เข้าใกล้ระดับ 1300 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่แนวร
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- เมื่อวานเป็นวันหยุดทำการ วันประธานาธิบดี (The President’day) ของทางฝั่งอเมริกาทำให้การเ
- ถึงแม้ตลาดหุ้นทางฝั่งอเมริ
- ประธาน ECB คุณ มาริโอ ดรากี้ ยืนยันว่าจะมีนโยบายเพิ่มเต
- ธนาคารในอิตาลีอย่าง Banco Popolare และ Banca Monte dei Paschi di Siena ที่มีปํญหาเรื่องหนี้เสีย หลังจากเผชิญกับความผันผวนต
- ยอดสินเชื่อใหม่ของจีนปรับต
- หลังจากประกาศตัวเลข GDP ออกมา ล่าสุด สภาพัฒน์ได้ปรับลดการคาดการ
- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้
- ทองคำปรับตัวลดลงกว่า 2% หลังจากเงินดอลลาร์แข็งค่าข
แนวรับ 1235 1239 1245 แนวต้าน 1220 1215 1207
ราคาทองคาเข้าสู่การพักตัว หลังจากในวันศุกร์ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวน์กลับขึ้นมาท่ามกลางมุมมองขอทางบวกที่ส่งออกมาจาก Deutsche bank ที่ประกาศซื้อหุ้นกู้คืน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง ความยังมั่นคงองธนาคารยักษ์ใหญ่ในยุโรป และ คลายความกังวลให้กับตลาดหุ้น ทั้งนี้น้ามันดิบที่รีบาวน์ขึ้นมาก็เป็นบวกต่อตลาดหุ้นเช่นกัน สอดคล้องกับมุมมองการพักตัวของทองคา แนวรับแรกบริเวณ $1220 หากรับไม่อยู่ ยังมีโอกาสไหลไปได้ถึงระดับ $1207 ที่เป็นเส้นแนวรับก็ยังไม่หลุดขาขึ้น
ทางเลือกรอง : ราคายังมี GAP อยู่บริเวณ 1235-1239 ซึ่งเป็น GAP ที่รอปิดอยู่ ต้องติดตามว่า หลังจากลงแล้วจะปิดกลับขึ้นมาได้หรือไม่
- ตลาดหุ้นไทยถอยลงแนวรับบริเวณ 1280 จุด ล่าสุดกลับมายืนเหนือระดับนี้ได้ จากเรื่องของน้ามันดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มรีบาวน์ในวันศุกร์ (ยกเว้นจีน) หากยังไม่หลุดยังพอมีข่องว่างไปทดสอบ 1340 ได้อยู่ในระยะกลาง ส่วนข่าวล่าสุดการเติบโตของ GDP ไทยออกมา 2.8% จากเดิม 2.9% และคาดการณ์ 2.7% ต้องติดตามตลาดว่าจะตีความเช่นไร ค่าเงินบาทดูเริ่มแข็งค่าเล็กน้อยแนวรับ
- ตัวเลขค้าปลีกของอเมริกาขยายตัว 0.2% เท่ากับการขยายตัวเดือนก่อนหน้า และมากกว่าคาดการณ์ที่ 0.1% ส่วนตัวเลขค้าปลีกหมวดไม่รวมสินค้าประเภทยานพาหนะขยายตัว 0.1% เท่ากับก่อนหน้า และมากกว่าคาดการณืว่าจะไม่ขยายตัว (0%) โดยรวมแล้ว กลุ่มตัวเลขค้าปลีกออกมาดีขึ้นในเดือนนี้ แต่รวมๆแล้วยังอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างผันผวนไปมาในกรอบแคบๆ ไม่ได้มีนัยสาคัญเท่าไรนัก
- ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้นแรงกว่า 300 จุดเมื่อวันศุกร์ หลังจาก CEO คุณ Jamie Dimon ซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองมูลค่าถึง 25 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้นของ JP morgan ปรับตัวขึ้นกว่า 8.3% และดึงดัชนีปรับตัวขึ้นมาพร้อมทั้งตัวเลขค้าปลีกที่ออกมาดี รวมถึง ราคาน้ามันดิบปรับตัวขึ้นแรงกว่า 11% 35.50
- ราคาหุ้นของ Deutsche bank ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 11.8% หลังจากธนาคารมีแผนที่จะซื้อหุ้นกู้กลับคืนมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแสดงให้เห็นถึงทิศทางของการเงินที่ยังแข็งแกร่งเนื่องจากก่อนหน้านั้น ธนาคารประกาศผลดาเนินงานออกมาพบว่า ขาดทุน และ ตลาดคาดการณ์ว่าอาจจะไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ แต่ทั้งนี้ความกังวลคลี่คลายลง หลังจากากรขาดทุนนั้นพบว่า ไม่ได้มาจากกิจกรรมดาเนินงานปกติ
- GDP ของยูโรโซนขยายตัว 0.3% เท่ากับเดือนก่อนหน้าและคาดการณ์
- ตัวเลขการส่งออกของจีนปรับตัวลดลงกว่า 11.2% ส่วนตัวเลขการนาเข้า ปรับตัวลดลงแรงกว่า 18.8% ส่วน Overseas shipments ปรับตัวลดลง –6.6% เทียบกับ +2.3% ในเดือน ธันวาคม เป็นตัวบ่งชี้ที่ว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีนมากนัก ล่าสุดตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากเปิดตลาด
- GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลงต่อเนื่องอีก –1.4% เป็นผลมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวลง ทั้งนี้ตลาดหุ้น Topix ปรับตัวสูงขึ้นจากคาดการณ์ผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม
- กองทุนปรับเพิ่มสถานะ Bullish bet ในทองคามากขึ้นในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้เป็นเหตุที่เกิดก่อนราคาจะวิ่งขึ้นในช่วงตรุษจีน ส่วนกองทุน SPDR มีการซื้อเพิ่มอีก 0.71% สู่ระดับ 710.95 ตันในวันศุกร์
- ราคาน้ามันดิบรีบาวน์ขึ้นแรงกว่า 11% ขึ้นแตะระดับ $29/บาร์เรล หลังจากคาดการณ์ว่ากลุ่ม OPEC อาจจะมีการลดกาลังการผลิตลง ทั้งนี้ต้องติดตามคาพูดแต่ละฝ่ายให้ดี
- ตัวเลขการส่งออกของจีนปรับตัวลดลงกว่า 11.2% ส่วนตัวเลขการนาเข้า ปรับตัวลดลงแรงกว่า 18.8% ส่วน Overseas shipments ปรับตัวลดลง –6.6% เทียบกับ +2.3% ในเดือน ธันวาคม เป็นตัวบ่งชี้ที่ว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีนมากนัก ล่าสุดตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากเปิดตลาด
- GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลงต่อเนื่องอีก –1.4% เป็นผลมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวลง ทั้งนี้ตลาดหุ้น Topix ปรับตัวสูงขึ้นจากคาดการณ์ผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม
- กองทุนปรับเพิ่มสถานะ Bullish bet ในทองคามากขึ้นในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้เป็นเหตุที่เกิดก่อนราคาจะวิ่งขึ้นในช่วงตรุษจีน ส่วนกองทุน SPDR มีการซื้อเพิ่มอีก 0.71% สู่ระดับ 710.95 ตันในวันศุกร์
- ราคาน้ามันดิบรีบาวน์ขึ้นแรงกว่า 11% ขึ้นแตะระดับ $29/บาร์เรล หลังจากคาดการณ์ว่ากลุ่ม OPEC อาจจะมีการลดกาลังการผลิตลง ทั้งนี้ต้องติดตามคาพูดแต่ละฝ่ายให้ดี
แนวทางทองคำวันที่ 12-2-59
แนวรับ 1230 1225 1220 แนวต้าน 1240 1250 1263
ทองคำปรับตัวสูงขึ้นแรงหลุด
ทางเลือกรอง : ถึงแม้จะดูการพักตัวลงมา แต่หากยังพยายามเกินกว่า $1240 ก็จะกลับไปขึ้นอีกรอบหนึ่ง ภาพรวมยังแช่อยู่ใน Overbought
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงม
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลดล
- ตัวเลขคนขอรับสวัสดิการว่าง
- ตลาดหุ้นโลก (World index) กำลังเข้าสู่ภาวะปรับฐาน (Correction) หลังจากปรับตัวลดลงจากจุดสู
- ธนาคารกลางสวีเดน (Sweden’s Riksbank) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล
- ปัญหาเรื่องธนาคารพาณิชย์ใน
- เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นส
- The Wall Street Journal รายงานว่า OPEC มีแผนที่จะปรับลดกำลังการผล
- เม็ดเงินไหลเข้ากองทุน SPDR มากสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อวานนี้สู่ระดับ 716.01 ตัน
แนวรับ 1209 1214 12220 แนวต้าน 1203 1201 1193
ทองคำปรับตัวสูงขึ้นหลุดระดับ $1200 ขึ้นมาเรียบร้อย ระยะสั้นมองการพักตัวลงมาก่อนประมาณครึ่งแท่งก่อนหน้าที่ระดับ $1201-1203 ถ้าหากลงมาแล้วไม่ยอมหลุด ให้น้ำหนักทางฝั่งขึ้นต่อ ปัจจัยที่กระทบเข้ามาอย่างหนักคือ การกังวลการเติบโตของทั่วโลก จะเห็นจาก นโยบายดอกเบี้ยที่ติดลบ และ พันธบัตรระยะสั้นของญี่ปุ่นและยุโรปที่ติดลบทั้งหมด สภาวะเช่นนี้ทำให้ถึงแม้ภาวะเงินเฟ้อจะไม่เกิด แต่อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบทำให้คนวิ่งเข้าหาสินทรัพย์อย่างทองคำ
ทางเลือกรอง : ราคาหลุด $1200 ลงมาอีกครั้งจะมองการพักตัวลงมาถึงบริเวณ $1190
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกแล้วถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง ปรับขึ้นมาทดสอบระดับ 1300 จุดได้ ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลงต่อ แต่กลุ่มพลังงานกลับลงมาค่อนข้างน้อย ยังมองมุมบวกหากยังเหนือ 1280-1290 อยู่และพร้อมจะทดสอบ 1340 ได้ หากไม่หลุดลงมา ค่าเงินบาททิศทางแข็งค่าค่อนข้างมาก แนวรับสำคัญถัดไปจะอยู่บริเวณ 35.11 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ในรอบที่แล้ว
ถ้อยแถลงของประธาน FED เมื่อวานนี้พบว่า คุณ เยลเลน ยังจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่จะเป็นลักษณะขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และประเมินไว้ว่าหากมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเพิ่มจากตรงนี้ (Downside risk) โดยเฉพาะจีน ก็อาจจะขึ้นดอกเบี้ยในจำนวนครั้งที่น้อยลงได้ พร้อมทั้งเสริมว่า สภาวะตลาดเงิน-ตลาดทุนในปัจจุบันนั้น ไม่เอื้อต่อการเติบโตของอเมริกา
- คุณ เยลเลน กล่าวเพิ่มเติมถึงอัตราดอกเบี้ยติดลบว่า ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนว่า จะนำอัตราดอกเบี้ยติดลบมาใช้กับอเมริกาหรือไม่ และกำลังอยู่ในช่วงพิจารณา
- จากช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาค่อนข้างทรงตัว ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากนัก เพราะ โดยรวมแล้วอเมริกาแค่ชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อย
กลุ่มตลาดหุ้นยุโรปถูกกดันอย่างหนักจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมธนาคารปรับตัวลดลงกว่า 4% นำโดยธนาคารในอิตาลีที่มีปัญหาเรื่องหนี้เสีย รวมถึงธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Deutsche Bank ที่ประกาศผลกำไรช่วงปีที่ผ่านมาหดตัวค่อนข้างมาก และ นำไปสู่ความกังวลเรื่องของการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกที่หลายๆคนให้ความกังวลหนักขึ้น นอกจากนี้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมันหดตัวลงในเดือนธันวาคมเพิ่มเติมอีกและทำให้ตลาดหุ้นยุโรปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
-ในช่วงวันหยุดตรุษจีนประเทศที่มีปํญหาหนักเห็นจะเป็นญี่ปุ่นหลังจากเงินเยนแข็งค่าขึ้นแรงท่ามกลางก่อนหน้านั้นที่กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยติดลบ นอกจากนี้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ปรับตัวเข้าสู่ระดับติดลบ แสดงให้เห็นถึง ภาวะเงินฝืด และ ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนีหุ้นนิเคอิปรับตัวลดลงแรงอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานนี้วันเดียวปรับตัวลดลง –5%
- ราคาน้ำมันดิบทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อวานนี้ (ต่ำกว่า $27/บาร์เรล) จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวของจีน และ EIA ที่ออกมาคาดการณ์ถึง Demand ที่จะปรับตัวลดลงในอนาคต ซึ่งตัวนี้สร้างความย่ำแย่ให้กับเศรษฐกิจโลกเพิ่มอีกคือ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันกำลังประสบปัญหา และ กลุ่มธนาคารที่สนับสนุนทางการเงินก็เริ่มจะแย่ตาม
- ทองคำปรับตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือนจากสภาวะแวดล้อมที่เป็นดอกเบี้ยติดลบ
ราคาปรับตัวสูงขึ้นและยังไม
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นไ
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ตัวเลขคนขอรับสวัสดิการว่าง
- เมื่อวานนี้ ปธน. บารัค โอบามา เสนอให้เก็บค่าธรรมเนียม $10 /
- Goldman sachs คาดว่าในปีนี้ FED จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 3 ครั้งเท่านั้น
- ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปปรับตั
- มีการปรับลดอัตราเงินเฟ้อขอ
- ตัวเลขเงินสำรองของจีนตลอดท
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภ
- น้ำมันและทองคำต่างได้รับปั
- กองทุน SPDR ยังเห็นสถานะซื้ออย่างต่อเน
แนวทางทองคำวันที่ 4-2-59
แนวรับ 1129 1120 1111 แนวต้าน 1145 1150 1155
เมื่อวานราคาปรับตัวขึ้นแรงเกินกว่าแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (กรอบเหลือง) ซึ่งเส้นนี้มองว่ามีนัยสำคัญเพราะ ทดสอบมาแล้วตลอด 3 ปีและไม่เคยผ่าน ล่าสุดผ่านมาแล้ว ต้องติดตามตรงนี้ให้ดีๆ เพราะ รอบก่อนก็ผ่านเลยไปประมาณ $30 รอบนี้เลยมาประมาณ $15 มองว่าจากตรงนี้ถึงแม้จะขึ้นต่อแต่ก็ยังอยากเห็นการปรับตัวลดลงมาทดสอบ $1130 อีกรอบหนึ่งก่อน หากไม่ยอมหลุดระดับนี้จริงๆ จะเจอกับขาขึ้นระยะกลาง แต่หากปรับตัวลดลงมาหลุด $1130 ก็จะกลายเป็น False-signal
ทางเลือกรอง : ยังเห็นแรงขึ้นอยู่ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น และ ระยะ Oversold ในภาพวันเริ่มเข้ามาแล้ว ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง
USD/THB
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวไม่หลุด 1280 ยังมีความหวังที่จะขึ้นไประดับ 1340 อีกครั้งหนึ่ง และตลาดหุ้ยทั่วโลกเริ่มกลับมาดูดีขึ้น นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบดูเหมือนจะสร้างฐานตรงนี้ไปสักระยะ ถึงเริ่มรีบาวน์ขึ้นมาแรงเมื่อวานนี้เป็นปัจจัยบวกกับหุ้นกล่มพลังงานที่มีผลต่อดัชนีหุ้นบ้านเราค่อนข้างมาก ฝั่งค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดมาพบ GAP กระโดดลงบริเวณ 35.70-35.78 จึงใช้เป้นแนวต้าน ส่วนแนวรับ 35.55
ข่าวสารประกอบการตัดสินใจ
- ตัวเลข ADP non-farm employment change ที่สำรวจการจ้างงานนอกภาคเกษตรโดยภาคเอกชนออกมาที่ระดับ 205K จากเดือนก่อนหน้า 267K ขณะที่คาดการณ์ 193K ทิศทางโดยรวมของ ADP ยังคงทรงตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักยังอยู่ในแนวโน้มขยายตัว นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ADP ไม่เคยกลับลงไปติดลบเหมือนช่วงปี 2008
- ดัชนีPMI ภาคบริการของอเมริกา ออกมาที่ระดับ 53.5 จุดจากเดือนก่อนหน้า 55.3 จุดเป็นการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 60 จุดเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน
- มีความเห็นจากสมาชิกของ FED คุณ Dudley ออกไปในทาง Dovish โทนเนื่องจาก กล่าวว่านับตั้งแต่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมา ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจกลับหดตัวลง ตลาดจึงคาดการณ์ว่าไม่น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มในปีนี้
- ตลาดหุ้นยุโรปทรงตัวเมื่อวานนี้ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นแรงกว่า 5% เนื่องจากกลุ่มธนาคารคอยกดดันดัชนี ส่วนหนึ่งเพราะ ผลประกอบการไม่เข้าเป้า และ หลายธนาคารมีแผนปรับลดพนักงานลงอีก ส่วนข่าวดีทางฝั่งสินค้าฟุ่มเฟือย เมื่อวานนี้ LVMH (หลุยส์ วิคตอง) ได้ออกมากล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้น ได้รับปัจจัยบวกจากฝั่งยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นมาชดเชยการชะลอตัวลงจากจีน ส่วนประเด็นอื่นๆยังไม่ได้มีอะไรมากนัก
- จีนปรับเป้าตัวเลขการเติบโตให้เป็นช่วงๆเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี (นับจากปี 1995 ) ประเมินไว้ว่าน่าจะขยายตัว 6.5%-7% ในขณะที่รอบก่อนๆหน้าประมาณไว้ที่ 7% และยังให้ความเห็นว่า Downside risk ของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะยังค่อนข้างเยอะ และมีแผนจะดูดซับกำลังการผลิตส่วนเกินรวมถึงจัดการกับ Zombie companies หรือ ธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร ทั้งนี้ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง H-share)ปรับตัวกลับขึ้นมาสู่ระดับ 8000 จุด ( เมื่อวานนี้ปรับตัวลดลงหลุด 8000 จุด)
- สต๊อกน้ำมันดิบของอเมริกาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยตามประกาศออกมาเมื่อวานนี้ แต่ราคาน้ำมันดิบก็ยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 8% ท่ามกลางมุมมองทางบวกต่อการประชุม OPEC และ Non-OPEC ที่มีความหวังว่าอาจจะยังมีการประชุมฉุกเฉินอยู่
- สำหรับข่าวตลาดทองคำ ยังมีมุมบวกอยู่สำหรับเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ETF ทั้งนี้ตลาดกำลังติดตามตัวเลขยอดซื้อทอง Physical ในช่วงตรุษจีนนี้
แนวทางทองคำวันที่ 3-2-59
แนวรับ 1123 1115 1111 แนวต้าน 1128 1132 1135
ราคายังคงแกว่งไปมาใต้แนวต้านแถวบริเวณ 1130 + - ยังมองการพักตัวลงมาด้านล่าง ประเมินแนวรับ 1120 ถึงแม้ภาพรวมจะยังอยู่ในแนวโน้มที่ขึ้นชัดเจน แต่ต้องระมัดระวังการปรับฐานหลังจากขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1130 บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของเส้นแนวต้านสำคัญ EMA200 ในภาพวัน ตลอดที่ราคาลงมา 3 ปีไม่เคยผ่านระดับนี้ไป จึงคิดว่า ควรติดตามตลาดให้ดีก่อนดีกว่า หากราคากลับขึ้นไปยืน 1135 สวยๆได้ จึงจะเริ่มดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข่าวบวกยังมีสนับสนุนจากเม็ดเงินที่ไหลเข้า ETF
ทางเลือกรอง : ราคาที่หลุด 1135 ขึ้นไปเลย จะมองว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกในระยะกลาง
USD/THB
ตลาดหุ้นไทย ถอยกลับมายังแนวรับบริเวณ 1280-1290 อีกครั้ง ซึ่งระดับนี้ไม่ควรจะหลุดลงไปหากยังอยากเห็นดัชนีรีบาวน์กลับขึ้นไปแถว 1340 หากหลุดลงไปแล้ว ภาพลบจะกลับมาอีกครั้ง สภาพตลาดทั่วโลกยังคงเปราะบางรวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรงคอยกดดันดัชนีอยู่ เมื่อวานนี้ค่าเงินบาทรีบาวน์กลับมาอ่อนค่าอย่างแรงเกินกว่าระดับ 35.77 ยาวมาจนถึงแนวต้าน 35.88 วันนี้มองแข็งค่าลงมาเล็กน้อย 35.77 อีกครั้งหนึ่ง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลดลงแรง ได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรงหลุดระดับ $30/บาร์เรลอีกครั้ง ช่วงก่อนหน้าราคาน้ำมันดิบได้รับข่าวเรื่องรัสเซียที่ออกมากล่าวว่า อาจจะมีการลดกำลังการผลิตลง จากนั้นซาอุดิอาระเบียได้ออกมากล่าวในอีกประมาณ 30 นาทีหลังจากนั้นว่า ไม่ได้มีแผนที่จะลดกำลังการผลิตและยังไม่จำเป็นต้องรีบจัดการประชุมด่วนในเร็วๆนี้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอีกครั้ง พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า Supply และ สต๊อกน้ำมันดิบของอเมริกายังอยู่ในระดับสูงที่สุดนับจากช่วงปี 1990 ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเพราะ กังวลเรื่องการเติบโต
- Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Apple ไปเรียบร้อย (หุ้น Apple ตกลงมาเล็กน้อยจากการชะลอตัวลงของยอดขาย)
- อัตราว่างงานของยุโรปปรับตัวลดลงสู่ระดับ 10.4% ลดลง 0.1% จาก 10.5% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้อัตราว่างงานของยุโรปเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดช่วงวิกฤติปี 2008 ที่ประมาณ 12% ทางฝั่งดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยังหดตัวต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงเงินเฟ้อในฝั่งของผู้ผลิตในกลุ่มยูโรโซนยังไม่ฟื้นตัวเท่าไรนัก
- ตลาดหุ้นฝั่งยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรง และช่วงหลังมานี้ตลาดหุ้นยุโรปมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกับน้ำมันดิบมาก
- ดัชนี PMI ภาคบริการของจีนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 52.4 จุด สวนทางกับภาคการผลิตที่หดตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง (H-Share) ปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่หลุดกว่าระดับ 8000 จุดในวันนี้ (-2.97%) จากทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่กังวลเรื่องการเติบโต
- รายงานการประชุม BOJ ในเดือนธันวาคมพบว่า ดอกเบี้ยที่ติดลบนั้นถือเป็นเรื่อง Surprise ตลาดเพราะในเดือนก่อนหน้ายังมองว่าจะมีแค่การปรับจูนเรื่อง QQE เท่านั้น
- ข่าวพาดหัวจากทาง Bloomberg พบว่า เม็ดเงินไหลเข้ากองทุน ETF อ้างอิงในทองคำเร่งตัวขึ้นในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในก้าวที่ไวที่สุดในรอบปี ETF ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดจะเป็นกองที่ไปลงทุน ETF กองทุนชื่อ SGOL ที่เป็นกองที่ลงทุนในทองคำเหมือนกับกองอื่นๆ แต่มีสิ่งที่แตกต่างคือ เป็นกองที่ลงทุนในทองแท่งที่เก็บไว้ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนักลงทุนมีความชื่นชอบประเทศนี้เป็นทุนเดิม