บทวิเคราะห์

ย้อนกลับ

Weekly update (27-31 MAY) : From US to india

สัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นหลักยังอยู่ที่เรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา หลังจาก ปธน.ทรัมป์ได้เลื่อนการแบนหัวเว่ยออกไป 90 วัน ล่าสุดได้ส่งสัญญาณอยากจะทบทวนกันใหม่หลังจากรัฐบาลจีนประกาศว่าหากแบนหัวเว่ยจะไม่ส่งออกแร่ Rare earth ซึ่งมีปริมาณการส่งออกกว่า 80-90% จากจีนไปสู่ตลาดโลก ในขณะที่ ปธน.ทรัมป์ได้ไปแบนเกม Console ที่ผลิตในจีนแทน โดยรวมแล้วสงครามการค้ายังไม่ได้มีอะไรใหม่ ต่างฝ่ายยังต่างบีบให้มีการเจรจากัน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นในที่ประชุม G-20 สำหรับประเด็นอื่นๆ คือการเลือกตั้งของอินเดียพบว่า นาย โมดี้ได้รับเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง โยจะมีวาระอีก 5 ปีโดยมีเป้าหมายคือ การพัฒนาอินเดียให้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ภายในปี 2030 ทางฝั่งยุโรป มีการประกาศลาออกของ นายกรัฐมนตรีหญิง นาง เทรีซ่า เมย์ หลังจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ EU
ทิศทางราคาทองคำมองว่า ด้วยราคาที่ปรับตัวออกจากเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นผ่านระดับ $1300 ออกมาได้ในระยะกลาง
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นาง เทรีซ่า เมย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
หลังจากประสบความล้มเหลวในการยื่นร่างแผนออกจาก Brexit ล่าสุด นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นาง เทรีซ่า เมย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ต้อติดตามว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะจัดการปัญหา Brexit อย่างไร อย่างไร ทางฝั่งดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมันโดย IFO (IFO Busniess Climate) เดือน พ.ค. ปรับตัวลดลง -1.3 จุด เป็น 97.9 จุด ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2014 และต่ำกว่าตลาดคาดที่ 99.1 จุด จากความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน (Current Assessment: -2.8, 100.6 จุด) ที่ปรับตัวลดลงมากท่ามกลางความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยทั้งความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงขึ้น และการเจรจา Brexit ที่ยืดเยื้อ ทางฝั่งความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในอนาคต (IFO Expectations) ทรงตัวที่ระดับต่ำเท่ากับเดือนก่อน (95.3 จุด)
โดยรวมแล้วตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ได้รับแรงหนุนหลักจากการบริโภคเอกชนที่ฟื้นตัวขึ้นหลังชะลอลงมากในไตรมาสก่อน และการลงทุนในภาคก่อสร้างที่ได้รับปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศที่ดี ซึ่งมองว่าเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ในขณะที่ในอนาคตเศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและปัญหาของ Brexit ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงอาจจะทำให้การเติบโตในอนาคตยังไม่สดใสเท่าไรนัก
Fed กล่าวว่าจะอดทนรอประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย
รายงานการประชุมนโยบายการเงิน (Meeting Minutes) รอบวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. ระบุว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรที่จะอดทนรอประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง นอกจากนี้ คณะกรรมการส่วนใหญ่มองเงินเฟ้อที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่าน เป็นเพียงผลจากปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น และนโยบายการเงินตอนนี้มีความเหมาะสมและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนในตอนนี้ ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ยังมีจำกัด
นักวิเคราะห์คาดว่าFed จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25-2.5% ตลอดทั้งปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหลังจากที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรััฐฯ กับจีนรุนแรงขึ้นผิดจากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ (สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจาก 10% เป็น 25% กับสินค้าจีนกลุ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์ และเตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเพิ่มเติมอีกมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์) ขณะที่จีนตอบโต้โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าจาก 5-25% เป็น 10-25% กับสินค้าสหรัฐฯ กลุ่ม 6 หมื่นล้านดอลลาร์)ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อคาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้าตามตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
อินเดียได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม คือ คุณ โมดี้
ผลการเลือกตั้งของอินเดีย นาย Naredra Modi ได้เสียงถล่มทลายและกลับมาเป็นประธานธิบดีได้เป็นสมัยที่ 2 โดยจะมีการดำรงตำแหน่งไปอีก 5 ปี นโยบายหลักของ คุณ โมดี้ จะมุ่งเน้นให้อินเดียพัฒนาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลกภายในปี 2030 ซึ่งนโยบายต่างๆล้วนแล้วแต่ทำได้สำเร็จในอดีต ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนโครงสร้างภาษี GST tax ซึ่งก่อนหน้าการขนส่งสินค้าข้ามรัฐจะต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน , การยกเลิกธนบัตรใบละ 500 และ 1,000 รูปีเพื่อลดปัญหาคอร์รัปชัน
อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบกับสงครามการค้า เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกของอินเดียไปยังประเทศอเมริกามีไม่มาก รวมถึงอินเดียเน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นปัจจัยหลักในการเติบโต ผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่ออินเดียจึงน้อยตามไปด้วย ในขณะที่หากลงทุนในประเทศอินเดีย สิ่งหนึ่งที่ต้องจับตามองคือ ราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบในปริมาณมาก หากราคาน้ำมันดิบขึ้นจะทำให้ต้นทุนสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดี ในขณะที่บริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานในประเทศอินเดียค่อนข้างน้อย ดัชนีตลาดหุ้นของอินเดีย จึงได้รับผลกระทบเชิงลบหากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น (หากราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับต่ำๆ หุ้นอินเดียจะได้รับประโยชน์)